Xiaomi ยังคงทยอยขนสมาร์ทโฟนเข้ามาขายในไทยเรื่อยๆ และตัวล่าสุดนี้ก็คือ Redmi 5 ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนราคาประหยัด แต่เปี่ยมด้วยฟีเจอร์ครบครันและการใช้งานที่ลื่นไหล Redmi 5 จะเป็นอย่างไรนั้น ตามมาดูรีวิวกันเลย
สเปก
- หน้าจอ IPS ความละเอียด 1440×720 ขนาด 5.7 นิ้ว
- กล้องหลัง 12 MP f/2.2 PDAF
- กล้องหน้า 5 MP
- ซีพียู Snapdragon 450 Octa-core
- แรม 2 หรือ 3 GB
- พื้นที่เก็บข้อมูล 16 หรือ 32 GB
- แบตเตอรี่ 3,300 mAh
- Wi-Fi 802.11 b/g/n ที่ 2.4 GHz, Wi-Fi Direct, Wi-Fi Display
- บลูทูธ 4.2
- สแกนลายนิ้วมือ, IR blaster
แกะกล่อง
กล่องของ Redmi 5 มาเป็นกล่องสีแดง มีชื่อรุ่นอยู่ด้านหน้าและด้านข้าง และมีสเปกคร่าวๆ อยู่ด้านหลัง เมื่อเปิดฝาออกมาจะเจอกล่องกระดาษที่บรรจุเคสซิลิโคนใสไว้ ต่อมาก็เป็นเครื่อง Redmi 5 พระเอกของเรา ส่วนข้างใต้เป็นคู่มือเบื้องต้น หัวชาร์จ สาย USB และที่จิ้มถาดซิม
ดีไซน์
ด้วยความที่หน้าจอเป็นแบบ 18:9 และขอบบางตามสมัยนิยม Redmi 5 จึงดูทันสมัย และใช้งานได้ถนัดมือ แม้จะมีขนาดหน้าจอใหญ่ถึง 5.7 นิ้วก็ตาม นั่นเป็นเพราะหน้าจอนั้นยาวขึ้น แต่ไม่ได้กว้างมาก ด้านหลังเครื่องเป็นอลูมิเนียม จึงอาจจะลื่นมือไปบ้าง ส่วนงานประกอบนั้นถือว่าทำมาได้ดี ปุ่มพาวเวอร์และปุ่มปรับเสียงให้ความรู้สึกดีต่อการกด ไม่หลวม โดยรวมแล้วถือว่าดีไซน์เกินราคาเครื่องไปเลย
การใช้งาน
จากการที่ได้ลองใช้ Redmi 5 มาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ก็ต้องบอกว่า Redmi 5 เป็นสมาร์ทโฟนราคาประหยัดที่สามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหล และยังใช้งานสนุกอีกด้วย
หน้าจอของ Redmi 5 เป็นแบบ IPS LCD ซึ่งจากการใช้งาน ก็สามารถมองได้อย่างสบายตา สีไม่ได้สดมากเท่ากับจอ AMOLED หน้าจอเป็น Gorilla Glass และเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ ทำให้สัมผัสลื่น ข้อเสียของจอคือความสว่างสู้แดดได้ไม่ดีนัก คือสามารถมองเห็นได้ ใช้งานได้ แต่ไม่สว่าง ตัวหน้าจอเองรองรับการแตะสองครั้งเพื่อเปิดหน้าจอด้วย ถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่สะดวก
Redmi 5 มีโหมดสำหรับ navigation bar อยู่สองแบบ คือแบบเป็นแถบด้านล่างตามปกติ และแบบใช้งานปาดนิ้วบริเวณขอบจอ ซึ่งจากที่ได้ลองใช้แบบที่สองนั้น พบว่าสนุกและสะดวกมาก ในการกลับหน้าโฮมให้ลากนิ้วจากล่างจอขึ้นมา ในการจะดูแอพที่เปิดไว้ ก็ทำเช่นเดียวกัน แต่พอลากขึ้นมาแล้วก็ค้างไว้ชั่วครู่ และสำหรับการย้อนกลับ ก็สามารถปาดออกมาจากด้านข้างจอได้เลย
ระบบภายในเป็นแอนดรอยด์ 7.1.2 (ณ วันที่รีวิว) ครอบทับด้วย MIUI 9 ซึ่งมีหน้าตาต่างจากแอนดรอยด์เพียวๆ อย่างสิ้นเชิง แต่ก็ทำออกมาได้สวย มีแอนิเมชั่นต่างๆ ที่ทำให้รู้สึกลื่นไหลเวลาใช้งาน และถ้าหากไม่ชอบหน้าตานี้ก็สามารถเปลี่ยนธีมได้อย่างง่ายดายด้วย
Second Space เป็นระบบที่เหมือนการแยกมือถือเราออกเป็นสองฝั่ง เช่น ฝั่งหนึ่งใช้ส่วนตัว อีกฝั่งใช้ทำงาน ข้อมูลและการตั้งค่าต่างๆ ของทั้งสองฝั่งจะถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง รวมไปถึงแอปพลิเคชันและแกลเลอรี่ภาพด้วย เหมือนกับการใช้โทรศัพท์อีกเครื่องไปเลย ซึ่งการสลับไปมาระหว่างสองฝั่งนี้ก็ทำได้ง่ายดายมาก เพียงตั้งลายนิ้วมือของแต่ละฝั่ง และสแกนนิ้วปลดล็อคหน้าจอตามปกติ หรือจะกดเปลี่ยนจากแถบการแจ้งเตือนก็ได้ ต้องขอบอกว่าเปลี่ยนได้เร็วมาก
พูดถึงการสแกนลายนิ้วมือแล้ว ขอบอกว่า Redmi 5 สามารถสแกนได้เร็วมาก เร็วขนาดที่ว่าสามารถแตะแล้วเอานิ้วออกได้ทันที เหมือนการแตะหน้าจอตามปกติเลย
อีกฟีเจอร์หนึ่งก็คือ Dual apps สำหรับใครที่อยากใช้เฟซบุ๊กหลายแอคเคานท์ในเครื่องเดียว ก็สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ได้ ซึ่งก็รองรับหลายแอพอยู่พอสมควร เช่น Instagram, Messenger, Outlook พอเปิดใช้งานแล้ว ก็จะเสมือนว่ามีสองแอพให้เราแยกใช้ได้
Redmi 5 มาพร้อมกับ IR blaster ด้วย หรือก็คือตัวส่งสัญญาณอินฟราเรด เพื่อให้เราสามารถใช้ Redmi 5 เป็นรีโมทสำหรับควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ได้ เช่น แอร์ ทีวี กล้อง เป็นต้น จะการใช้งานก็ถือว่าสะดวกมาก มีอุณหภูมิแอร์บอกที่มือถือ ปรับความแรง ปรับอะไรได้ง่าย เหมือนรีโมททุกตัวบนโลกนี้อยู่ภายในมือถือเครื่องเดียว ไม่ต้องกลัวทำรีโมตหายอีกด้วย
มีต่อหน้าถัดไป