เป็นสมาร์ทโฟนอีกรุ่นที่มีภาพหลุดมาตลอดจนวันเปิดตัว แต่ฟีเจอร์ด้านในส่วนใหญ่ยังเก็บไว้ได้เรียบ และในที่สุดก็เปิดตัวกันแล้วสำหรับ Huawei P20 และ P20 Pro สมาร์ทโฟนเรือธงตัวล่าสุดจาก Huawei ที่อัดฟีเจอร์มาเต็มมากๆ แถมยังได้คะแนน DxOMark สูงที่สุดในโลกอีก เป็นอย่างไรมาดูกัน
สเปก
Huawei P20
- หน้าจอ LCD ขนาด 5.8 นิ้ว ความละเอียด 1080×2244
- แอนดรอยด์ 8.1 รองรับ AR Core
- หน่วยประมวลผล Kirin 970 octa-core
- แรม 4 GB
- พื้นที่เก็บข้อมูล 128 GB
- กล้องหลัง RGB 12 MP f/1.8 + ขาวดำ 20 MP f/1.6
- กล้องหน้า 24 MP f/2.0
- Dolby Atmos
- USB Type-C, ไม่มีช่องหูฟัง
- เซ็นเซอร์ปรับโทนสีหน้าจออัตโนมัติ
- รองรับการสแกนใบหน้า
- แบตเตอรี่ 3,400 mAh
Huawei P20 Pro (เฉพาะส่วนที่ต่าง)
- หน้าจอ OLED ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1080×2244
- แรม 6 GB
- กล้องหลัง RGB 40 MP f/1.8 + ขาวดำ 20 MP f/1.6 + ซูม 8 MP f/2.4
- แบตเตอรี่ 4,000 mAh
- กันน้ำตามมาตรฐาน IP67
ดีไซน์
หน้าตาของ Huawei P20 นั้นต่างไปจาก Huawei P10 อย่างสิ้นเชิง โดยมาพร้อมหน้าจอ (เกือบ) เต็มพื้นที่ด้านหน้าเครื่องตามสมัยนิยม และมีแถบดำอยู่ด้านบนของหน้าจอ (ซึ่งตามรายงานของ Droidsans แล้วสามารถซ่อนได้) ด้านหลังจัดวางกล้องในแนวตั้ง ตัวเครื่องห่อหุ้มด้วยกระจก 3 มิติ โค้งมนและแวววาว ทำให้ดูพรีเมียมขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมาพร้อมสีพิเศษ Twilight และ Pink Gold ที่เป็นการไล่สีอย่างสวยงามด้วย
กล้องมือถือที่ดีที่สุดในโลก
ขยันกันทำแต้มมากๆ สำหรับเรือธงแต่ละค่าย และตอนนี้ Huawei P20 และ P20 Pro ก็ได้บัลลังก์กล้องสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในโลกมาครอง ด้วยคะแนนกล้องรวม 102 คะแนน (P20) และ 109 คะแนน (P20 Plus) แซงหน้า Galaxy S9+ ที่ได้ 99 คะแนน และ Pixel 2 ที่ได้ 98 คะแนน ส่วน iPhone X นั้นทำไปได้ 97 คะแนน
กล้องหลังของ Huawei P20 มาพร้อมเซ็นเซอร์รับภาพขนาดใหญ่ถึง 1.55 μm โดยบน P20 นั้นจะเป็น RGB 12 MP f/1.8 + ขาวดำ 20 MP f/1.6 ส่วนบน P20 Pro จะเป็น RGB 40 MP f/1.8 + ขาวดำ 20 MP f/1.6 + ซูม 8 MP f/2.4 และสำหรับกล้องหน้าของทั้งสองรุ่นมีความละเอียด 24 MP รูรับแสง f/2.0
สิ่งหนึ่งที่ถือว่าสุดยอดมากๆ บน Huawei P20 Pro ก็คือมีความไวแสงหรือ ISO ที่สูงถึง 102,400 เท่ากับ Canon 5D Mark IV เลยทีเดียว มากกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นใดก็ตามในท้องตลาด
Huawei P20 มาพร้อมระบบ 4D Predictive Focus ที่จะคาดการณ์การเคลื่อนที่ของวัตถุและปรับโฟกัสก่อนที่วัตถุจะขยับ พร้อมรองรับการโฟกัสแบบเลเซอร์, deep focus, phase detection และ contrast detection
อีกฟีเจอร์หนึ่งคือ 3D Portrait Lighting ที่ยกการจัดแสงใบหน้าแบบสตูดิโอมาไว้บนมือถือ เหมือนกับบน iPhone 8 และ iPhone X นั่นเอง
ใน P20 นี้ก็มีการนำระบบ AI เข้ามาใช้ช่วยถ่ายภาพมากขึ้น เพิ่มเติมจากการปรับภาพให้เหมาะสมกับสิ่งที่ถ่ายแล้วก็คือสามารถถ่ายแบบแบบเปิดหน้ากล้องนานๆ ได้โดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง เพราะมีการนำระบบ AIS (AI Image Stabilization) เข้ามาช่วย เพิ่มจาก OIS และ EIS ซึ่งหัวเหว่ยให้ข้อมูลว่าสามารถถือด้วยมือเปล่าได้นานถึง 6 วินาที ว่าไปแล้วก็รู้สึกอยากลองขึ้นมาทันที
สำหรับการถ่ายวิดีโอนั้นก็รองรับความละเอียดสูงสุดที่ 4K และรองรับการถ่ายวิดีโอสโลวโมชันที่ 960 fps เช่นเดียวกับ Galaxy S9 และ Xperia XZ Premium
หน่วยประมวลผลประสาทเทียม
Huawei P20 มาพร้อมกับ NPU (Neural Processing Unit) หรือหน่วยประมวลผลประสาทเทียม เช่นเดียวกับบน Huawei Mate 10 เพื่อนำมาประมวลผลด้าน AI ต่างๆ แทนหน่วยประมวลผลหลัก ทำให้สามารถประมวลผลได้เร็วกว่า และฟีเจอร์ AI ต่างๆ ของเครื่องก็ถูกประมวลผลผ่าน NPU ตัวนี้นี่เอง แอปพลิเคชันเช่น Prisma (เปลี่ยนภาพถ่ายให้เหมือนภาพวาด) ก็ทำงานบน NPU ตัวนี้ได้ เมื่อเทียบความเร็วกับบน iPhone X แล้วถือว่าเร็วกว่ามาก (ในงานเปิดตัว P20 ใช้เวลาประมวลผลประมาณ 3 วินาที ส่วน iPhone X ใช้เวลา 9 วินาที)
ราคา
ราคาด้านล่างเป็นสกุลเงินยูโรที่รวมภาษีแล้ว คาดว่าราคาไทยจะถูกกว่านี้ครับ
- Huawei P20 (4 GB + 128 GB): 649 ยูโร (ราว 25,000 บาท)
- Huawei P20 Pro (6 GB + 128 GB): 899 ยูโร (ราว 34,700 บาท)